วันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

สังคมไทย

สังคมไทย 
สังคมไทยมีลักษณะเป็นเอกสังคม ประกอบด้วยคนเชื้อชาติและสัญชาติไทยอยู่รวมกันเป็นส่วนใหญ่ ในปีพ.ศ. 2536 ประเทศไทยมีประชากรประมาณ 58 ล้านคนและปี พ.ศ. 2539 มีจำนวนประชากรประมาณ 60 ล้านคน ประเทศไทยจึงประสบปัญหาการเพิ่มจำนวนของประชากร

ลักษณะของสังคมไทย 
1. เป็นสังคมเกษตรกรรม ประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม
2. เป็นสังคมที่มีการแบ่งชนชั้น โดยยึดจากฐานะทางเศรษฐกิจและสังคม
3. เป็นสังคมที่ยึดมั่นในขนบธรรมเนียมประเพณีเป็นหลัก
4. มีโครงสร้างแบบหลวม ๆ ไม่เคร่งครัดในกฎเกณฑ์และระเบียบ ขาดระเบียบวินัย
5. พุทธศาสนามีอิทธิพลต่อความเชื่อและการดำเนินชีวิต
6. เป็นสังคมที่อยู่ระหว่างการเปลี่ยนแปลง

โครงสร้างสังคมเมืองและสังคมชนบท 
ลักษณะสังคมชนบท 
1. ประชากรมีจำนวนมากอยู่อย่างกระจัดกระจาย
2. การศึกษาต่ำ ฐานะยากจน
3. มีรายได้น้อย และประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก
4. การปกครองส่วนภูมิภาค มีส่วนร่วมทางการเมืองน้อย
5. เป็นสังคมชาวพุทธ พุทธศาสนิกชนมีความเชื่อและนับถือในโชคลาง
6. มีความสัมพันธ์แบบใกล้ชิดส่วนตัว และเป็นกันเอง

ลักษณะสังคมเมือง 
1. ประชากรมีจำนวนมากและอยู่อย่างหนาแน่น
2. เป็นศูนย์กลางทางการศึกษาที่สำคัญ
3. เป็นศูนย์รวมความเจริญทางเศรษฐกิจ สังคม การปกครอง
4. ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในสังคมเมืองมีลักษณะเป็นทุติยภูมิ
5. มีรายได้รายจ่ายสูง เศรษฐกิจดีและประกอบอาชีพหลากหลายชนิด

สาเหตุการเปลี่ยนแปลงสังคมชนบท 
1. สาเหตุภายใน ได้แก่ การเกิด การตาย การย้ายถิ่น
2. สาเหตุภายนอก ได้แก่ การศึกษา การคมนาคม การสื่อสาร เป็นต้น

ค่านิยมของสังคมไทย 
ค่านิยมทางสังคม หมายถึง รูปแบบความคิดที่คนส่วนใหญ่ยึดถือและปฏิบัติร่วมกันเพราะเป็นสิ่งมีคุณค่า ถูกต้องเหมาะสมและดีงามควรปฏิบัติ

ที่มาของค่านิยมของสังคมไทย 
1. รับจากศาสนาพุทธผสมผสานกับศาสนาพราหมณ์
2. รับจากสังคมดั้งเดิม คือ ระบบศักดินา เช่น การนับถือเจ้านาย ยศถาบรรดาศักดิ์
3. รับจากระบบสังคมเกษตรกรรม เช่น ความเฉื่อย ขาดความกระตือรือร้น
4. รับจากความเชื่อในอำนาจศักดิ์สิทธิ์ โชคลาง

ค่านิยมของสังคมชนบท 
1. นับถือเรื่องกรรมเก่า บุญวาสนา
2. เชื่อถือโชคลาง
3. ยกย่องและนับถือผู้มีคุณงามความดี
4. ขี้เกรงใจคน ไม่โต้แย้ง เห็นแก่หน้า
5. ชอบสันโดษ
6. นิยมเครื่องประดับประเภทเพชรนิลจินดา ทอง
7. ชอบเสี่ยงโชค
8. นิยมทำบุญตักบาตรและพิธีการต่าง ๆ เกินกำลัง
9. นิยมช่วยเหลือ พึ่งพาอาศัยก่อนและช่วยเหลือกัน
10. หวังผลเฉพาะหน้า เช่น สนใจเฉพาะผลผลิตปีนี้โดยไม่นึกถึงในอนาคตข้างหน้า

ค่านิยมของสังคมเมือง 
1. ไม่เชื่อเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ มีเหตุผลในการตัดสินใจ
2. มีการแข่งขันกันสูง
3. ชอบใช้จ่ายฟุ่มเฟือย หรูหรา
4. เห็นแก่ตัวไม่ช่วยเหลือกัน
5. นิยมของใช้ตะวันตก เช่น การแต่งกาย
6. มีการกำหนดเวลาที่ชัดเจนและแน่นอน

ค่านิยมของสังคมไทยที่ควรเปลี่ยนแปลง 
1. ค่านิยมความเฉื่อย เพราะขาดความกระตือรือร้น
2. ไม่ตรงต่อเวลาในการนัดหมาย
3. ขาดระเบียบวินัยในการดำเนินชีวิต
4. ชอบเสี่ยงโชคลาภ เช่น การพนัน ลอตเตอรี่
5. ไม่กล้าเสี่ยงในการประกอบอาชีพ
6. ชอบความสะดวกสบาย แต่งกายภูมิฐาน มีรถยนต์ราคาแพงขับ เพื่อให้คนอื่นยอมรับความสำคัญของตนเอง

การเปลี่ยนแปลงและแนวโน้มสังคมไทย 
การเปลี่ยนแปลง หมายถึง การที่สิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งมีสภาพแตกต่างไปจากเดิม

การเปลี่ยนแปลงในสังคมไทย แบ่งเป็น 2 แบบ คือ
  1. การเปลี่ยนแปลงทางสังคม หมายถึง การเปลี่ยนแปลงรูปแบบและระบบความสัมพันธ์ของสมาชิกในสังคม เช่น การเมือง การปกครอง การศึกษา สถานภาพ บทบาท จำนวนประชากร เป็นต้น
  2. การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม หมายถึง การเปลี่ยนแปลงด้านวัฒนธรรมของสังคมที่เป็นวัตถุและไม่ใช่วัตถุ ทั้งที่เป็นประโยชน์หรือโทษ
สาเหตุของการเปลี่ยนแปลงในสังคมไทย 
1. สภาพแวดล้อมทางกายภาพ
2. การเพิ่มของประชากร
3. การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
4. การติดต่อกับสังคมภายนอก
5. นโยบายของผู้นำในสังคม
6. ความรู้และเทคโนโลยีวิทยาการของสังคม

การสื่อสาร

การสื่อสาร หมายถึง

ธรรมชาติของมนุษย์ต้องการอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ต้องการความรักความเข้าใจจากสมาชิกในกลุ่ม การสื่อสารจึงเป็นสิ่งที่จะช่วยให้มนุษย์ได้รับสิ่งเหล่านั้น และการสื่อสารยังช่วยให้มนุษย์เกิดความพึงพอใจ ช่วยให้ได้รับความไว้วางใจและความรู้สึกที่ดีต่อกันได้
การสื่อสาร หมายถึง
การสื่อสาร ตรงกับภาษาอังกฤษว่า Communication หมายถึง กระบวนการส่งข่าวสารข้อมูลจากผู้ส่งข่าวสารไปยังผู้รับข่าวสาร มีวัตถุประสงค์เพื่อชักจูงให้ผู้รับข่าวสารมีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา โดยคาดหวังให้เป็นไปตามที่ผู้ส่งต้องการ
ความสำคัญของการสื่อสาร
  1. การสื่อสารมีบทบาทสำคัญต่อชีวิตประจาวัน ในวันหนึ่งเราใช้การสื่อสาร ตลอดเวลา ทั้งการสื่อสารกับตนเอง การสื่อสารกับผู้อื่น ตั้งแต่บุคคลในครอบครัว กลุ่มเพื่อน ผู้ร่วมงาน และทุกกิจกรรมในการดำรงชีวิต ก็ต้องใช้การสื่อสารทั้งนั้น
  2. ความสำคัญต่อความเป็นสังคม มนุษย์รวมตัวกันเป็นกลุ่มสังคมได้ตั้งแต่สังคมเล็กระดับครอบครัว จนถึงสังคม ที่ใหญ่ระดับประเทศและระดับโลกได้ ก็เพราะอาศัยการสื่อสารเป็นพื้นฐาน
  3. ความสำคัญต่ออุตสาหกรรมและธุรกิจตั้งแต่ขั้นตอนการตลาด การขาย การจัดหา วัตถุดิบ การวางแผนการผลิต การผลิต การเงิน การบัญชี และการบริหารงานบุคคล ต้องใช้ การสื่อสารทุกขั้นตอน
  4. ความสำคัญต่อการปกครอง เนื่องจากผู้ปกครองและผู้ถูกปกครอง จะต้องมีการตกลงร่วมกันในกฎเกณฑ์หรือระเบียบต่าง ๆ ผู้ปกครองต้อง เผยแพร่ข่าวสารเหล่านี้ให้ผู้ถูกปกครองทราบทั้งทางตรงและทางอ้อม
  5. ความสำคัญต่อการเมืองและเศรษฐกิจทุกประเทศมีการติดต่อสื่อสารกันทั้งทางด้านการเมือง และเศรษฐกิจเพื่อการสร้างเครือข่ายหรือพันธมิตร
มนุษย์ใช้การสื่อสารอยู่ตลอดเวลา การรู้ความหมายและรู้ความสำคัญของการสื่อสาร ตลอดจนทราบองค์ประกอบของการสื่อสาร ทำให้สามารถปรับปรุงหรือพัฒนาการรูปแบบการสื่อสารให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

การทำซีส

ชีสอุดมไปด้วยโปรตีน แคลเซียม วิตามินบี 2 วิตามินบี 12 หากร่างกายได้แคลเซียมตั้งแต่วัยเด็กหรือวัยรุ่น ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนในวัยชราได้

ชีสเป็นนมที่ทิ้งไว้จนเกิด กรดแลคติคทำให้มีรสเปรี้ยว มีสารเฟนิลเอทิลอะมีนมากกว่าช็อคโกแลต สารนี้ช่วยทำให้เกิดความสุข ร่างกายกระฉับกระเฉง

มีโปรตีนและสาร อาหารต่าง ๆ มีแคลเซียมช่วยให้ผู้หญิงเข้าสู่วัยทองปลอดจากภาวะกระดูกพรุน เนื่องจากกระดูกบางลง การเดินการทรงตัวจะดี เคลื่อนไหวได้ปราดเปรียว การทานไม่ได้ทำให้ได้ไขมันมากอย่างที่กังวล เพราะได้มาจากส่วนโปรตีนของนมมากกว่าไขมัน
วิตามินในชีสมีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยในการชะลอความชรา ป้องกันร่างกายจากเชื้อแบคทีเรีย วิตามินช่วยเสริมสร้างฮอร์โมนเพศในชายและหญิง


นมรสจืด 450 มล. 2 ขวด
(อันที่จริงสูตรใช้ 1000 มล. แต่แถวบ้านไม่มีขายเลยเอาปริมาณใกล้เคียง
อ่านเจอว่ายี่ห้อดัชมิลล์ลงตัวสุด เท่าที่ลองทำโฟโมสต์ก็ใช้แทนได้ นมรสอื่นชีสจะเหลว )

โยเกริร์ตรสธรรมชาติ 1 ถ้วย
(หรือไม่ก็ใช้เครื่องปรุงที่มีรสเปรี้ยว เช่น มะนาว ส้ม น้ำส้มสายชู นมโยเกิร์ตจากบัวหิมะ)

ประเพณีไทย

ประเพณีลอยกระทง ซึ่งตรงกับวันเพ็ญ เดือน 12 เริ่มขึ้นครั้งแรก ในสมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี โดยมีนางนพมาศ หรือท้าวศรีจุฬารัตน์ พระสนมเอกแห่งพระร่วงเจ้า เป็นผู้ให้กำเนิด ในปัจจุบัน การลอยกระทงได้แพร่หลาย และเป็นที่นิยมไปอย่างกว้างขวาง โดยผู้ใหญ่มักจะเกณฑ์เด็กๆ มาช่วยกันทำกระทงนำไปลอยในแม่น้ำ เพื่อขอขมาแก่พระแม่คงคา พร้อมทั้งอธิษฐานขอสิ่งดีๆ ให้แก่ตนเอง และคนรัก และครอบครัว
วันลอยกระทงตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ประเพณีลอยกระทงมีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย
ประเพณีลอยกระทงได้เข้าสู่ประเทศไทยในสมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานีประมาณ พ.ศ. 1800 ดังปรากฏในหนังสือนางนพมาศ ผู้เป็นพระสนมเอกของพระร่วงเจ้าว่า "ครั้นวันเพ็ญเดือน 12 ข้าน้อยได้กระทำโคมลอย คิดตกแต่งให้งามประหลาดกว่าโคมสนมกำนัลทั้งปวงจึงเลือกผกาเกษรสีต่างๆ มาประดับเป็นรูปกระมุทกลีบบานรับแสงจันทร์ใหญ่ประมาณเท่ากงระแทะ ล้วนแต่พรรณดอกไม้ซ้อนสีสลับให้ป็นลวดลาย..." เมื่อสมเด็จพระร่วงเจ้าได้เสด็จฯทางชลมารค ทอดพระเนตรกระทงของนางนพมาศก็ทรงพอพระราชหฤทัย จึงมีพระราชโองการฯให้จัดพิธีลอยกระทงเป็นประจำทุกปี ในคืนวันเพ็ญเดือนสิบสองพระราชพิธีนี้จึงได้ถือปฏิบัติเป็นประจำจนกระทั่งบัดนี้
ประวัติความเป็นมา
ประเพณีลอยกระทงมีมานานจนสืบประวัติไม่ได้ และไม่มีในคัมภีร์ทางศาสนาเสฐียรโกเศศ (พระยาอนุมานราชธน) ได้ค้นคว้าที่มาของประเพณีลอยกระทงไทยทุกภาคตลอดจนถึงประเทศใกล้เคียงคือ พม่า กัมพูชา จีน อินเดีย ได้ความว่ามีประเพณีลอยกระทงทุกประเทศด้วยเหตุผลต่างๆ กัน
สรุปเหตุผลของการลอยกระทงในประเทศไทยดังนี้
1. เพื่อขอขมาแม่คงคา เพราะได้อาศัยนำท่านกินและใช้ และอีกประการหนึ่งมนุษย์มักจะทิ้งและถ่ายสิ่งปฏิกูลลงไปในน้ำด้วย
2. เพื่อสักการะรอยพระพุทธบาทนัมมทานที ซึ่งประพุทธเจ้าทรงประทับรอยพระบาทประดิาฐานไว้บนหาดทรายที่แม่น้ำนัมมทานที ในประเทศอินเดีย3. เพื่อลอยทุกข์โศกโรคภัย และสิ่งไม่ดี คล้ายกับพิธีลอยบาปของพราหมณ์
4. เพื่อบูชาพระอุปคุต ชาวไทยภาคเหนือให้ความเคารพแก่พระอุปคุตอย่างสูง ซึ่งตามตำนานเล่าว่าเป็นพระมหาเถระรูปหนึ่งที่มีอิทธิฤทธิ์มากสามารถปราบพญามารได้
การลอยกระทงไม่มีพิธีรีตอง เพียงแต่ขอให้มีกระทงจะทำด้วยอะไรก็ได้ เช่น ใบตอง การกล้วย กาบพลับพลึง เปลือกมะพร้าว กระดาษ โฟม และ ปัจจุบันยังใช้ขนมปังทำด้วยเพื่อจะได้เป็นอาหารให้ปลาและไม่ทำลายแม่น้ำด้วย โดยจุดธูปเทียนปักที่กระทงแล้วอธิษฐานตามที่ตนปรารถนา เสร็จแล้วจึงลอยไปที่แม่นำลำคลอง (ภาพถ่ายจาก หาดป่าตอง จังหวัดภูเก็ต)

วันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2559

วันคริสต์มาส

   ถึงช่วงปลายปีทีไร ชาวไทยเราก็มีเรื่องฉลองอีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นวันปีใหม่หรือวันคริสต์มาส ที่กำลังจะเข้ามาถึง แม้ว่าวันคริสต์มาสนี่ดูเหมือนจะไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับคนไทยที่นับถือศาสนาพุทธสักเท่าไร แต่ก็มีคนไทยบางคนที่นับถือศาสนาคริสต์อยู่จำนวนไม่น้อย ว่าแต่ประวัติคริสต์มาสเป็นมาอย่างไร วันนี้เรามีข้อมูลมาฝาก

ตำนานวันคริสต์มาส

          คำว่า "คริสต์มาส" เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษว่า Christmas มาจากคำภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse ที่แปลว่า "บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า" ซึ่งพบครั้งแรกในเอกสารโบราณที่เป็นภาษาอังกฤษในปี ค.ศ. 1038 และในปัจจุบันคำนี้ก็ได้เปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas

          เทศกาล Christmas หรือ X’Mas ตรงกับวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี ซึ่งวันที่ 25 ธันวาคมนั้นเป็นวันประสูติของพระเยซู ศาสดาแห่งศาสนาคริสต์ โดยพระองค์ประสูติที่เมืองเบธเลเฮมและเติบโตที่เมืองนาซาเรท ซึ่งปัจจุบันคือประเทศอิสราเอล ตามหลักฐานในพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าประสูติในสมัยที่จักรพรรดิซีซาร์ ออกุสตุส แห่งจักรวรรดิโรมัน ซึ่งทรงสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยฝ่ายคีรีนิอัส เจ้าเมืองซีเรียก็รับนโยบายไปปฏิบัติให้มีการจดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งอาณาเขต แต่ในพระคัมภีร์ ไม่ได้ระบุว่าพระเยซูประสูติวันหรือเดือนอะไร

           ด้านนักประวัติศาสตร์ก็มีความเห็นที่ต่างออกไปโดยได้วิเคราะห์ว่า เดิมทีวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิเอาเรเลียนแห่งโรมัน กำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยเทพ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 274 ชาวโรมันซึ่งส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูซึ่งเปรียบเสมือนความสว่างของโลก และเหมือนดวงจันทร์เป็นความสว่างในตอนกลางคืนแทน หลังจากที่ชาวคริสต์ถูกควบคุมเสรีภาพทางศาสนาตั้งแต่ปี ค.ศ. 64-313 จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ปี ค.ศ. 330 ชาวคริสต์จึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและเปิดเผย

          เทศกาลคริสต์มาสจึงเป็นวันแห่งการเฉลิมฉลองวันประสูติของพระเยซู และเป็นการฉลองความรักที่พระเจ้ามีต่อมนุษย์โลก โดยส่งบุตรชาย คือ "พระเยซู" ลงมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อช่วยไถ่บาป และช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากการทำชั่วนั่นเอง ดังนั้นในวันนี้ถือเป็นวันที่มีความหมายสำคัญต่อชาวคริสต์ทั่วโลก และมีการส่งบัตรอวยพร ให้ของขวัญ แก่กันและกัน รวมทั้งประดับประดาตกแต่งบ้านเรือนด้วยแสงไฟ และต้นคริสต์มาสอย่างสวยงาม

วันปีใหม่


          ปีใหม่ หรือ วันขึ้นปีใหม่ 2560 หรือ ปีใหม่ภาษาอังกฤษ Happy New Year 2017 ใกล้มาถึงแล้ว วันขึ้นปีใหม่ หลาย ๆ คนคงชอบที่จะได้หยุดหลาย ๆ วัน ว่าแต่ที่หยุดและฉลองปีใหม่กันอยู่ทุกปี แล้วรู้หรือไม่ว่า ประวัติปีใหม่ หรือวันขึ้นปีใหม่ มีความเป็นมาอย่างไร วันนี้เรามีความหมายวันขึ้นปีใหม่ ประวัติวันขึ้นปีใหม่ มาฝาก  

ความหมายของวันขึ้นปีใหม่

          วันขึ้นปีใหม่ ตามความหมายในพจนานุกรมให้ความหมายคำว่า "ปี" หมายถึง เวลาชั่วโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ครั้งหนึ่งราว 365 วัน หรือ เวลา 12 เดือนตามสุริยคติ ดังนั้น "ปีใหม่" จึงหมายถึง การขึ้นรอบใหม่หลังจาก 12 เดือน หรือ 1 ปี

ความเป็นมาของ วันขึ้นปีใหม่

          วันขึ้นปีใหม่ มีประวัติความเป็นมาซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยตามความเหมาะสม ตั้งแต่ในสมัยเริ่มแรกเมื่อชาวบาบิโลเนีย เริ่มคิดค้นการใช้ปฏิทินโดยอาศัยระยะต่าง ๆ ของดวงจันทร์เป็นหลักในการนับ เมื่อครบ 12 เดือน ก็กำหนดว่าเป็น 1 ปี และเพื่อให้เกิดความพอดีระหว่างการนับปีตามปฏิทินกับปีตามฤดูกาล จึงได้เพิ่มเดือนเข้าไปอีก 1 เดือน เป็น 13 เดือนในทุก ๆ 4 ปี

          ต่อมาชาวอียิปต์ กรีก และชาวเซมิติก ได้นำการปฏิบัติของชาวบาบิโลเนียมาดัดแปลงแก้ไขอีกหลายคราวเพื่อให้ตรงกับฤดูกาลมากยิ่งขึ้น จนถึงสมัยของกษัตริย์จูเลียต ซีซาร์ (ประมาณ 46 ปี ก่อนคริสต์ศักราช) ได้นำความคิดของนักดาราศาสตร์ชาวอียิปต์ชื่อโยซิเยนิส มาปรับปรุงให้หนึ่งปีมี 365 วัน โดยทุก ๆ 4 ปี ให้เติมเดือนที่มี 28 วัน เพิ่มขึ้นอีก 1 วัน เป็น 29 วัน คือเดือนกุมภาพันธ์ เรียกว่า อธิกสุรทิน เมื่อเพิ่มให้เดือนกุมภาพันธ์มี 29 วัน ให้ทุกๆ 4 ปี แต่วันในปฏิทินก็ยังไม่ค่อยตรงกับฤดูกาลนัก คือเวลาในปฏิทินยาวกว่าปีตามฤดูกาล เป็นเหตุให้ฤดูกาลมาถึงก่อนวันในปฏิทิน

          และในวันที่ 21 มีนาคม ตามปีปฏิทินของทุก ๆ ปี จะเป็นช่วงที่มีเวลากลางวันและกลางคืนเท่ากัน คือเป็นวันที่ดวงอาทิตย์จะขึ้นตรงทิศตะวันออก และลับลงตามทิศตะวันตก วันนี้ทั่วโลกจึงมีช่วงเวลาเท่ากับ 12 ชั่วโมงเท่ากัน เรียกว่า วันทิวาราตรีเสมอภาคมีนาคม (Equinox in March) 

ดาราที่ชื่นชอบ

พัชราภา ไชยเชื้อ (เกิด 5 ธันวาคม พ.ศ. 2521) ชื่อเล่น อั้ม เป็นนักแสดง นางแบบ ต่างๆและพิธีกรหญิงชาวไทย

ประวัติ[แก้]

พัชราภาเกิดเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2521 ที่โรงพยาบาลเพชรเวช กรุงเทพมหานคร มีชื่อแรกเกิดว่า "ไข่มุก" ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็น "พัชราภา" ในภายหลัง[1]มีบิดาชื่อ นายวรวุฒิ ไชยเชื้อ และมารดาชื่อ นางสุภาพร ไชยเชื้อ โดยเธอเป็นบุตรสาวคนเดียวของครอบครัว

การศึกษา[แก้]

อั้ม พัชราภา จบการศึกษาในระดับอนุบาล ที่โรงเรียนอนุบาลธนินทร ดอนเมือง กรุงเทพฯ ระดับประถมศึกษา ที่โรงเรียนสตรีวรนาถ บางเขน ระดับมัธยมศึกษา ที่โรงเรียนดัดดรุณี จังหวัดฉะเชิงเทรา และระดับอุดมศึกษา คณะนิเทศศาสตร์ สาขาประชาสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยรังสิต

วงการบันเทิง[แก้]

พัชราภาเข้าสู่วงการบันเทิงเมื่อปี พ.ศ. 2540 โดยเริ่มต้นจากการประกวด MissHack 1997 หรือที่คนทั่วไปรู้จักในนาม สาวแฮ็คส์นั่นเอง[2] และเธอถือว่าเป็นสาวแฮ็คส์คนแรก ของเวทีประกวดนี้ ซึ่งอั้มได้รับรางวัลชนะเลิศ และเริ่มมีบทบาทในวงการบันเทิง โดยผลงานชิ้นแรกคือแสดง MV ไม่ใช่คนในฝัน ของต้น อาภากร และในปีเดียวกันก็มีผลงานละครเรื่อง "มณีเนื้อแท้" ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7[3] จากนั้นก็มีผลงานออกมาเรื่อยๆจนถึงปัจจุบัน ในปี พ.ศ. 2546 อั้ม ได้มีบทบาทในการเป็นพิธีกรครั้งแรก ในรายการ จ้อจี้ โดยเป็นพิธีกรคู่กับ จิ้ม ชวนชื่น[4] และในปีนั้นเธอได้มีโอกาสแสดงภาพยนตร์เรื่อง เฟค โกหกทั้งเพ โดยหลังจากนั้น เธอก็มีผลงานภาพยนตร์ออกมาอย่างต่อเนื่อง อั้ม ถือว่าเป็นนักแสดงหญิงชาวไทย ที่มีชื่อเสียงและได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก และเป็นนักแสดงหญิงที่มีค่าตัวแพงที่สุดในประเทศไทย ทั้งงานละคร อีเว้นท์ โฆษณา[5] และได้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้หญิงที่เซ็กซี่ที่สุดอันดับ 1 ของเมืองไทย จนกระทั่งปีพ.ศ. 2555 เธอประกาศตัวว่าจะไม่ขอรับรางวัลเซ็กซี่อีก[6] จนสื่อมวลชนและสมาคมนักข่าวบันเทิงแห่งประเทศไทยได้ตั้งฉายาให้เธอว่า "ซุปตาร์เกษียณเต้า"[7] ปัจจุบัน อั้ม - พัชราภา เป็นนักแสดงสังกัด สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7